วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Review...เที่ยวเวียดนาม(กลาง)แบบง้อทัวร์ ไม่ต้องกลัวหลงทาง

ทักทาย
สวัสดีครับ ชาวบล็อกทุกท่าน วันนี้ผมกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่รีวิวเมนูยำอึ่งใบมะกอกไป 
ไม่ทราบว่าใครลองไปทำตามบ้างเอ่ยย หรือถ้าใครยังไม่ได้อ่าน งง สับสน ไม่เข้าใจ
 ว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร
เชิญเลื่อนเมาส์มาคลิ๊ก ที่นี่ ได้เลยครับ แล้วเราจะนำพาท่านไปยังปลายทางเองงง ฟิ้วววว~

และสำหรับการกลับมาของผมวันนี้ ผมพูดเลยว่าไม่ได้มาเล่นๆ 
ผมมีอีกหนึ่งบทความรีวิว มาฝากเพื่อนๆพี่ๆที่น่ารักทุกท่าน 
คงไม่ต้องให้ทายกันใช่ไหมครับ ว่าเป็นรีวิวอะไร ที่ไหน อย่างไร
ก็แหงล่ะสิ...หัวข้อโพสต์ก็บอกอยู่นี่!
อ่ะใช่แล้วครับ นั่นก็คือ! รีวิวท่องเที่ยวประเทศเวียดนามกลางนั่งเองงงงงงงงง!
ซึ่งทริปนี้ที่ผมไป ความจริงแล้วก็เป็นทริปที่นานมาแล้ว ความตั้งใจแรกคือต้องการจะเขียนรีวิวเที่ยวเวียดนามเหนือ เมืองฮานอย ฮาลองเบไรงี้ซึ่งเป็นทริปที่ผมไปเมื่อปลายปีที่แล้วเอง แต่คิดไปคิดมา Where Where is Where Where (ไหนๆก็ไหนๆ)ละ ก็รีวิวมันซะให้หมดเลยสิ! จะได้เป็นการฝากไฟล์ภาพไว้บนเว็บไซต์ไปในตัว และอย่างน้อยมันอาจจะมีประโยชน์กับคนที่เค้าสนใจบ้างล่ะน่ะ
อย่างน้อยซัก 0.1% ก็ยังดี เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็จัดเลยครับ
แผนการรีวิวเที่ยวเวียดนาม แบบยาวเหยียดเป็นซีรี่ย์
ซึ่งกำลังจะเริ่มต้น ณ บัดนี้!  Let's start the journey!



เที่ยวเวียดนาม(กลาง)แบบง้อทัวร์ ไม่ต้องกลัวหลงทาง
คุยกันก่อน ก่อนออกเดินทาง

สำหรับทริปเที่ยวเวียดนามกลางนี้ เป็นทริปจำนวน 4 วัน 3 คืน และอย่างที่ผมบอกไปตรงหัวข้อแล้วว่าเป็นการไปแบบง้อทัวร์ ไปแบบไม่ได้วางแผนอะไรด้วยตัวเองเลย
 เนื่องจากทริปนี้ มีส.ว. หรือผู้สูงวัยไปกันเยอะ ถ้าหากจะให้คุณลุง คุณป้ามาแบกเป้ ผจญเมืองเวียดนาม
เห็นทีจะไม่เหมาะสม จึงกลายเป็นทริปแบบง้อทัวร์ เพราะกลัวโรคความดันกำเริบนี่เอง
ส่วนตัวผมนั้น ทริปเที่ยวเวียดนามทริปนี้ คือการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ครั้งแรกในชีวิตของผม
(ถ้าไม่รวมที่ข้ามชายแดนแม่สายไปพม่า นับเวลาได้เป็นนาทีอ่ะนะครับ ) จำความรู้สึกได้เลยตอนนั้น หญิงแม่โทรมาถามว่า "หม่อน อยากไปเที่ยวเวียดนามไหม พอดีที่ทำงานแม่เค้าจัดทริปไปกัน ถ้าไปจะได้ซื้อทัวร์ไว้เผื่อ"พอได้ยินที่แม่พูดปุ๊บ ผมนี่ลุกขึ้นมาเต้นสามช่าท่าฮิปฮอป ตอบรับไปอย่างไม่ทันคิด 
และตั้งหน้าตั้งตารอแทบไม่ไหว

การเดินทาง ไปยังไง? 
พอได้รับการแจ้งข่าวดีจากแม่สุดเลิฟแล้ว สิ่งแรกที่นึกฝันคือ จะได้นั่งเครื่องบินโดดเด่นบนฟากฟ้า จะไปไขว่คว้าเอามาดังใจฝัน~ แต่ก็ต้องอกหักดังเปร๊าะ หน้าแตกแอนตาซิลไม่รับเย็บ เพราะ....


ใช่แล้วว ทริปนี้ช่างมหัศจรรย์และพิเศษฝุดๆ เพราะต้องเดินทางโดยรถโค้ช หรือเว้ากันซื่อๆก็
 รถขนส่งมวลชนบ้านเรานี่แหล่ะ  T^T แต่ไม่เป็นไร! ตราบใดที่เราคิดบวก ชีวิตก็จะดีเอง
หากเรามองอีกมุม การที่เราเดินทางโดยรถโค้ช จะทำให้เราได้เที่ยว 2 ประเทศในทริปเดียว! 
เพราะเส้นทางนี้ ต้องขับรถผ่านมุกดาหาร ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปฝั่งสะหวันเขต ประเทศลาว
 ขับไปเรื่อยๆจนถึงเวียดนามในที่สุด นั่นหมายความว่า 
เราจะได้เอาร่างกายไปแตะพื้นดินประเทศลาว ก่อนจะถึงเวียดนาม
แหมะ! คิดแล้วคุ้มจริงๆ
แต่.......นั่นแหละครับคุณผู้ช๊มม! ตอนที่ผมไป เส้นทางช่างเป็นใจ เด้งซ้าย เด้งขวา
ขยับไปตามหลุมที่มีอยู่ทุก 2 วิ รับรู้ได้ถึงเครื่องในและลำไส้พันกันเป็นปม.....
พวกลุงป้า เมารถ ยัดยาดมกันเป็นแถบๆ ส่วนผม...ทำหน้านิ่ง มองตรง ตั้งสติ
และนึกถึงฝันที่วาดไว้ อดทนไว้ ใกล้ถึงแล้วววว
สรุปแล้ว สะหวันเขตที่ฝัน กับ สะหวันเขตที่ได้เจอ รู้สึกจะไม่ตรงกันเท่าไหร่
ร้อยละ 90 ของเวลาทั้งหมด หมดไปกับการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงและหลุมลึกหลุมตื้น
มาทุกรูปแบบ แอบสงสัยด้วยว่ารถโค้ชนี่มันจะทนได้แค่ไหนกันเชียว
แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้

ค่าใช้จ่าย+แนะนำไกด์

สำหรับทริปนี้ เป็นทริปที่ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ราคาต่อหัวไปแอบถามแม่มา
ตอนนั้นตกอยู่คนละ 8,000 กว่าบาท แต่ตอนนี้ลองหาตามเว็บไซต์ มีบริษัททัวร์หนึ่ง อยู่ที่ 9,500 บาท
ซึ่งก็ไม่แพงเท่าไหร่ ตามความคิดเห็นของผม เที่ยวไทยบางที่ ยังแพงกว่าอีก
ซึ่งราคานี้ รวมหมดทุกอย่าง ที่พัก 4 ดาว อาหารทุกมื้อ และมีไกด์ดูแลอย่างดีตลอดทริป
ผมยังจำชื่อไกด์คนไทยได้เลย ชื่อพี่ไข่ย้อย เป็นชายตุ้งติ้ง บริการดี เอนเตอร์เทนเยี่ยมตลอดทาง
แถมมีการจับคู่จิ้นชายชายบนรถ ลุงแก่ๆก็ยังโดนแทะเล็ม ก็ถือว่าเป็นสีสัน
ช่วยหายเบื่อเวลาต้องนั่งรถนานๆ เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปกับพี่เค้า
นอกจากนี้ เวลาเดินทางเข้าเขตประเทศไหน ต้องให้ไกด์ท้องถิ่นเป็นผู้ดูแล เป็นกฎ
อย่างตอนที่เข้าเขตสะหวันเขต ก็จะเป็นไกด์ลาว สาวสวย ทำหน้าที่แทนพี่ไข่ย้อย
ดูเนิบๆ ซื่อๆ โดนงูเฒ่าบนรถฉกไปหลายตัว แล้วพอเดินทางมาถึงด่านลาว-บ๋าว เตรียมเข้าเขตเวียดนาม
ไกด์ลาวก็หมดหน้าที่ ลากกระเป๋าออกจากรถไป และแทนที่ด้วยไกด์เวียดนามสาวห้าว
ผู้ซึ่งอยู่กับเราตลอดทริปเช่นกัน


พี่ไกด์เวียดนามคนนี้ พูดภาษาไทยได้ชัดมาก พี่เค้าเรียนจบ ป.ตรีที่ไทยด้วยนะ
สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จึงทำให้พี่เค้ารู้ทันนิสัยคนไทย ว่า2สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคนไทยได้นั้น
คือของฟรี กับเรื่องทะลึ่ง ซึ่งผมก็เห็นด้วย
เห็นได้ชัดจากเวลาที่พี่ไกด์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์เวียดนาม
ลุงๆป้าๆก็จะหลับบ้าง หยิบนิยายขึ้นมาอ่านบ้าง แทะเม็ดมะม่วงบ้าง
แต่ทันทีที่พี่ไกด์สอนภาษาเวียดนาม คำว่า "ห_ม_อ_ยคง"
ทุกคนต่างละทิ้งภารกิจส่วนตัว และนั่งหลังตรงฟังอย่างตั้งใจ
ซึ่งคำหรือประโยคนี้ แปลว่าเหนื่อยมั๊ย
และหากจะตอบว่าไม่เหนื่อย ก็บอกว่า "คงห_ม_อ_ย"
แต่ถ้าเหนื่อยก็ตอบไปอย่างมั่นใจเลยว่า "ห_ม_อ_ยเหี่ยว"
ลูกทัวร์ชอบใจกันมาก และนั่นคือสิ่งเดียวที่ทุกคนสามารถจำได้ตลอดทริป 5555555+

Day 2 : เมืองเว้ 

หลังจากที่วันแรกหมดไปกับการเดินทาง  อย่างที่ผมได้เกริ่นไปบ้างแล้ว
วันที่สองคือเวลาส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้า
 ก็หมดไปกับการเดินทางอยู่บนรถโค้ชเช่นกัน กว่าจะถึงเมืองเว้ก็พระอาทิตย์ตกดิน
ซึ่งอาหารเวียดนามมื้อแรกของทริป ไกด์พาเรามาภัตาคารที่ค่อนข้างหรูแห่งหนึ่ง
รถจอดที่ถนนใหญ่ แล้วต้องเดินเข้ามาในซอยแคบๆอีกที
รสชาติก็ใช้ได้ แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่า
ผมชอบอาหารสไตล์เวียดนามอยู่แล้ว
เพราะเน้นผัก ทานแล้วมีประโยชน์
แต่รสชาติก็ไม่ถึงกับจืดซะทีเดียว
มีรสเปรี้ยว หวาน เค็มให้พอรู้ว่ามี
แต่หากใครที่ชื่นชอบรสจัด อาจผิดหวัง และผมขอแนะนำว่าควรพกน้ำพริก หรือน้ำจิ้มรสจัดมาด้วย
เหมือนกับทริปนี้ พี่ไข่ย้อยก็เตรียมน้ำพริกเผามาให้ลูกทัวร์เช่นกัน
น่ารักมว๊ากกกก




หลังจากอิ่มแปล้ ก็เดินทางเข้าสู่ที่พักใจกลางเมืองเว้
ผมจำชื่อโรงแรมไม่ได้ แต่มีภาพภายในห้องนอนมาให้ดูครับ อยู่ข้างๆกับโรงแรม Century 
โดยรวมถือว่าน่าอยู่ ตกแต่งได้ดี พนักงานบริการโอเค  สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ครับ
พอเก็บของกันเรียบร้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้านอนเลย
มาถึงเมืองเค้าทังที มีเวลาไม่กี่วัน ก็ต้องเดินสำรวจให้ทั่ว ทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่มีหนึ่งคนที่ขอยอมแพ้ อาบน้ำปะแป้งเข้านอน นั่นก็คือหม่อมแม่ของผมนี่เอง
ผมพยายามโน้มน้าวชักจูงแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะความง่วงของแม่ผมได้
แต่ยังดีที่ฟ้ายังเห็นใจ เพราะพี่พลอย (นามสมมติ) มาเคาะห้องชวนไปเดินเล่น!
คือพี่พลอยก็มากับคุณแม่เช่นกัน แต่ก็เป็นธรรมเนียมของผู้สูงวัยทุกท่าน
ที่ต้องเข้านอนก่อนละครหลังข่าวจบ
ดังนั้น ก็จะเหลือแต่แก๊งค์วัยรุ่น Gen Y ผู้ซึ่งกระหายการผจญภัยในราตรี
ซึ่งนอกจากผมกับพี่พลอย ก็มีเพื่อนๆพี่รวมแก๊งค์อีกสามสี่คนครับ

แก๊งค์ Gen Y

เริ่มต้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะหัตถกรรม ที่อยู่ติดๆกับโรงแรมเลย
ในนั้นก็จะเป็นนิทรรศการทั้งภาพวาด
และงานทางด้านหัตถกรรม เย็บ ปัก ถัก ร้อย
สไตล์เวียดนามครับ



พอดื่มด่ำกับศิลปะแห่งเมืองเว้กันได้พอสมควร
เราก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีร้านค้าห้องแถวเรียงรายกันอยู่ริมฟุตบาท
รวมถึงมีซอยเข้าไปหลายๆซอย ที่มีทั้งร้านค้าและบ้านช่อง


ระหว่างการเดินชมนกชมไม้
ก็มีลุงสามล้อมาชวนนั่งชมวิวรอบเมือง
แต่ว่ามันค่อนข้างดึกแล้ว เลยไม่ไป
และในขณะที่กำลังจะเดินกันต่อ
ก็มีมือมาสะกิดผมซึ่งเดินอยู่คนสุดท้าย
ผมหันไปหา เป็นลุงสามล้อคนนั้น ชี้ไปที่พี่ฟ้า
แล้วเอามือมาประกบกัน ทำมือป้าบๆๆ พร้อมหัวเราะ
ลุงนี้เห็นหน้าสงบเสงี่ยม แต่ความจริงคงจะหื่นน่าดู
สุภาพสตรีท่านไหน ที่จะไปเวียดนาม พยายามอย่าไปคนเดียวนะครับ
มันไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น ทางที่ดีควรหาเเฟนก่อนไป หรือถ้าจนปัญญาหาไม่ได้จริงๆ
ก็ลองชวนเพื่อนไปแบบดูโอ้ หรือทรีซั่ม เอ้ย ทรีโอ้ก็ได้ครับ 



วันที่ 3 : ฮอยอัน 

เช้าวันนี้ ออกจากที่พักแปดโมง 
ทุกคนดูสดใน และตื่นเต้นกับการท่องเที่ยว
สถานที่แรกที่ไกด์พาไป คือนครจักรพรรดิ
ข่าวร้ายคือ รูปถ่ายภายใน ผมหาไม่เจอ T T
แต่ข่าวดี ผมต่อราคากับแม่ค้าบริเวณนั้น
ได้กระเป๋าดินสอผ้า ลายปักสไตล์เวียดนาม 3 แพ็ค 50 บาท!
แล้วแพ็คนึงมีกระเป๋า 12 ชิ้น ทำเอาอึ้งกันไปหมด จากราคาหลักร้อยเหลือหลักสืบ
หลังจากนั้นมา ทุกคนเลยสวมรอยนักการทูต เจรจาต่อรองราคา เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติกันใหญ่
เหล่านี้คือรูปบริเวณภายนอกนครจักพรรดิ แนะนำว่าให้มาสัมผัสด้วยตาของตัวเองครับ



นอกจากนครจักรพรรดิแล้ว ก็ยังได้ไปที่วัดเทียนหมู่ แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก 
เลยขออนุญาตข้ามไปที่เมืองฮอยอัน ฉันรักเธอเลยนะครับ

สำหรับฮอยอัน ไฮไลท์ที่ผมจำได้คือการเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม
ซึ่งไกด์พาพวกผมไปย่านการค้า ที่มีบ้านเก่าแก่สไตล์จีนทาสีเหลือง
พร้อมกับชมสะพานญี่ปุ่น ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของฮอยอัน 
โดยรวมแล้วบริเวณนี้ดูร่วมสมัย ชิคๆแบบคงวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้
ลองมาชมภาพกันเลยครับ









สะพานญี่ปุ่น


พอเพลิดเพลินกับฮอยอันจนอิ่มใจ
ก็ถึงเวลาเดินทางกลับเมืองเว้ แวะรับประทานอาหารกลางวัน
ที่ร้านอาหารซีฟู้ดกันก่อน





 ตอนค่ำ ล่องเรือมังกรแม่น้ำหอม
ฟังดนตรีและรับชมการแสดงฟ้อนรำของเวียดนาม 
รู้สึกฟินที่ได้ล่องลอยอยู่กลางสายน้ำ
คลอไปกับเสียงขับร้องและดนตรีบรรเลงที่ไม่คุ้นหู




 เป็นอันสิ้นสุดค่ำคืนที่สองไปด้วยความประทับใจ สดใสชีวา

Day 4 : เที่ยวต่ออีกสักหน่อย ค่อยกลับ

วันนี้จุดเด่นคือการแวะตลาดดองบา ทุกคนเตรียมสกิลต่อราคาอย่างเต็มที่
ซึ่งใกล้กันกับตลาด มีห้างสรรพสินค้าค่อนข้างเก่า ผมกับแม่หลังจากเดินดูของที่ตลาด
ก็หนีมาหลบแอร์กันอยู่ในห้างนี้


ก่อนกลับ นั่งอยู่บนรถโค้ช รถเตรียมออก
ก็มีแม่ค้าถือชุด เอ๊าใหญ่ ซึ่งเป็นชุดประจำชาติเวียดนาม จำนวนหลายชุด 
มาเคาะกระจกขายของ ก็พูดคุยกันไปโดยใช้ภาษามือ
โดยมีกระจกหน้าต่างรถเป็นสื่่อกลาง
เหล่าแม่ค้าเอ๊าใหญ่ ก็พยายามฮาร์ดเซลล์สุดๆ ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์
บางชุดจากหกร้อยกว่าบาท ลดเหลือหลักสิบบาทก็มี
เรียกได้ว่าใจถึงจริงๆ

ก่อนเดินทางกลับ ไกด์พาเราไปยังสถานที่สุดท้าย
คืออุโมงค์วินม็อก ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในช่วงสงครามเวียดนามรบกับอเมริกา
ที่ชาวเวียดนามขุดอุโมงค์ลึกลงไปใต้ดิน
 เพื่อหลบซ่อนกองทัพทางอากาศของอเมริกา
ด้วยความอดทน ในการใช้ชีวิตอยู่ใต้อุโมงค์นั้นหลายปี
และใช้แผนการต่อสู้แบบกองโจร ทำให้อเมริกายอมถอนกองทัพออกจากเวียดนามในที่สุด
เชิญทัศนาภาพเลยครับ







บริเวณภายในอุโมงค์
อันนี้เป็นโซนห้องนอน ภายใต้อุโมงค์
ค่อนข้างอึดอัด นับถือความอดทนของคนเวียดนามจริงๆ

พอลงใต้ดินชมอุโมงค์เสร็จ ก็เข้ามาในพิพิธภัณฑ์
ที่รวมวัตถุสำคัญช่วงสงครามเวียดนามไว้



แผนผังจำลอง อุโมงค์วินห์ม็อก


ทะเลบริเวณอุโมงค์ ชาวเวียดนามจะนำดินจากการขุดอุโมงค์ มาทิ้งลงทะเล
เพื่อลบร่องรอยจากทหารอเมริกัน




ก่อนกลับแวะคุยกับชาวบ้าน
ที่กำลังแกะ...ไม่มั่นใจว่าใช่ถั่วหรือไม่
รบกวนผู้รู้ด้วยครับ




 จบแล้วครับสำหรับทริปเวียดนามกลาง ต้องขออภัยที่ผมไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับทริปนี้
ได้อย่างละเอียด เพราะมันก็ค่อนข้างนานมาแล้ว ความจำบางส่วนเลยหลุดหายไป แต่สำหรับครั้งต่อไป
ทั้งทริปเวียดนามเหนือ ทริปเที่ยวไทย หรือทริปเที่ยวอเมริกา ที่ผมจะนำมารีวิว
สัญญาว่าจะเขียนอธิบายละเอียดมากกว่านี้ครับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจให้กระทู้รีวิวแรกของผม
มีอะไรสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ ผมยินดีตอบทุกคำถาม สวัสดีครับ ^^













ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น